8.09.2011

เรื่องกินเรื่องใหญ่

 เป้าหมายหนึ่งของการไปเที่ยวญี่ปุ่นคือ พักจริงๆ  พักแบบที่เราไม่ต้องกระหืดกระหอบวิ่งตามไกด์โบกธง  อีกเหตุผลหนึ่งคือ จะเริ่มฝึกซาร่าให้เป็น backpacker ต่างแดนได้แล้ว

แม้จะเป็นคนไม่เลือกกิน  อาหารที่กินที่ญี่ปุ่นก็ไม่ได้ฝืนใจเลยสักมื้อเดียว  หนักบ้าง เบาบ้าง มีทั้งถูกและแพง ก็เฉลี่ยกันไปพอให้มีความสุข  มื้อที่เราจุกที่สุดคืออาหารที่ Aso เล่นกินอาหารเซทใหญ่ อลังการมาก  เริ่มด้วยปูนึ่งตัวขนาดนี้ แถมก้ามปูยักษ์เนื้อหวาน ทุบมาให้เสร็จ ตอนที่ซาร่าทำท่าทางลำบากในการกิน คุณลุงที่ดูแลห้องอาหารก็กุลีกุจอไปทุบปูมาให้ด้วย  ก่อนจะยกชุดชาบูชาบูเนื้อนุ่ม  หมู ปลา กุ้งมาต่อแบบไม่มีเบรค ทั้งที่ตอนนั้นเราก็เริ่มจะจุกแล้ว แต่กินเพราะเกรงใจคุณลุง ตบท้ายด้วยการเอาข้าวสุกใส่ในน้ำซุปที่เหลือจากชาบูชาบู ลงไปต้มๆ บี้ๆ กินกับผักดอง อร่อยสุดๆ


 ที่โรงแรมนี้เขาภูมิใจนำเสนอเมนูผักปลอดสารที่เขารับมาจากเกษตรกรในละแวกชุมชน Aso นั่นเอง
เขาบอกว่า ผักที่เรากินยังมีชีวิต ไม่ใช่ผักที่พ่นยา กระหน่ำปุ๋ย เหมือนคนป่วยที่ต้องพยุงชีวิตด้วยยาและอาหารเสริม




เราได้ลั่นวาจากันว่า จะไม่กินปูไปอีกหลายปีและต้องขอคารวะทุกชีวิตที่มีส่วนในการผลิตอาหารทุกมื้อที่ญี่ปุ่น ... อร่อยได้ใจอยากจะเรอดังๆ ก็เกรงใจ อิอิ

8.04.2011

กำไรชีวิต...พบ Ikebana Sensei

เซนเซสอนอยู่ที่วิทยาลัย Aso 
จากกองกิ่งไม้ เฟิร์น และใบไม้

 เมื่อไปญี่ปุ่นรอบล่าสุดเป็นเดือนพฤษภาคม 2011 หลังซึนามิซัดเมืองเซนได  พวกเราก็เลยมุ่งหน้าลงเกาะใต้ ไปแวะเมือง Aso ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ เงียบๆ อยู่ในเขตภูเขาไฟที่ควันยังกรุ่นอยู่  แต่เรื่องที่น่าตื่นเต้นแบบไม่คาดฝันถือเป็นกำไรชีวิต คือการได้พบ Ikebana Sensei ที่สามารถจัดดอกไม้จากเศษไม้ กิ่งไม้ ใบไม้กองนี้ เข้าคู่กับดอกไม้หลังบ้าน กับดอกไม้ที่เก็บริมทาง

เซนเซบอกว่า จัดดอกไม้เซทนี้ตั้งชื่อว่า Spring Garden  เพราะเป็นช่วงฤดู Spring พอดี ระหว่างนี้เราก็เฝ้ามองการทำงานแบบ เรื่อยๆ ใจเย็น ค่อยเป็นค่อยไป  เซนเซหันมาสบตาเราอยู่ตลอดเวลา คอยอธิบายด้วยภาษาญี่ปุ่นบ้าง อังกฤษบ้างเป็นคำๆ 


ดอกไม้หลังบ้าน กับอีกบางส่วนเก็บจากข้างทาง

ถาดกระเบื้องแบนๆ ก็จัดสวนได้!!
 เซนเซเติมกิ่งไม้ทีละกิ่งลงไปบนฐานลวด ที่จริงเป็นกิ่งปลายของต้นซากุระ จับดัดให้เอนเอียงไปตามจินตนาการ

งานแบบนี้ นอกจากต้องมีสายตาช่างสังเกต และจินตนาการ ยังจำเป็นต้องมีสมาธิอีกด้วย  เซนเซบอกว่า ต้องทำสมาธิทุกวัน  อย่างที่หลวงปู่หลวงพ่อที่ทันสมัยท่านว่า  (รวมทั้งพี่เต๋อ เรวัตด้วย) "คนจัดดอกไม้ ดอกไม้จัดคน"  ซาร่าเองก็มองอย่างทึ่งจริงๆ  เซนเซไม่ได้มีอุปกรณ์อะไรพิศดารเลย
แต่งกิ่งเสร็จ ก็แต้มด้วยดอกไม้สีสดใสบ้าง
รางวัลจากเซนเซ
งานชิ้นนี้เสร็จแล้ว เราก็ติดตามเซนเซไปแต่งดอกไม้ที่จุดอื่นๆ ด้วย  มีทั้งแจกันใหญ่ เล็ก หลายรูปแบบ แก้ว กระเบื้อง แม้แต่กระบอกไม้ไผ่ ... ด้วยความที่เราดูเป็นเด็กเรียน ตั้งใจช่วยครูจริงๆ (ทั้งที่ครูมีผู้ช่วยแล้ว 2 คน  เห็นเราเกะกะอยู่ก็เลยใช้ผู้ช่วยไปทำอย่างอื่น  เราเลยรับเป็นลูกมือ ช่วยถืออุปกรณ์ เติมน้ำในแจกัน  พอเสร็จงานทุกอย่างแล้ว  เซนเซก็ให้ดอกไม้กับเรามา 1 หอบ พร้อมใบไม้ลายสำหรับแต่งช่อ

สงสัยเราจะเป็นห้องเดียวที่มีดอกไม้ ><
แถมดอกไม้เซทนี้ ยังติดตามเราไปถึง Nagasaki และ Fukuoka ซึ่งเป็นจุดหมายสุดท้ายของเรา

ทำไมอยากกลับเมืองไทย

สมัยอยู่ US  ชีวิตโดยทั่วๆ ไปก็ราบเรียบสงบดี ดูเป็นระเบียบและทุกอย่างอยู่ในความควบคุม ไม่ต้องใช้การคาดเดากันมาก  ถึงตอน Spring กับ Summer ก็เตรียมไปเดินป่ากัน กางเตนท์นอนกับปีเตอร์ และ Emma หมาน้อย ถึงตอน Fall ก็ได้ไปเดินป่าดูใบไม้เปลี่ยนสี  ฤดู Opera ก็ได้เข้า NYC ไปดูดาราใหญ่ๆ ร้องโอเปร่า  สอนหนังสือ เรียนหนังสือไป สลับกับทำงาน consult อะไรๆ ก็ดูจะดี  ยกเว้นอีตอนใบไม้แห้ง หิมะตกนี่หละที่ทรมานกายาจริงๆ  เพราะแพ้ความเย็นอันแสนจะทรมานนั่นหละที่เปลี่ยนจากหน้าตาดีๆ แบบรูปซ้ายมือ กลายเป็นตุ่ม บวม แถมคันแบบลมพิษเข้าอีกด้วย  ถึงกับต้องใส่หน้ากากสกีไปสอนหนังสือให้นักศึกษาแซว

เมื่อตอนไปญี่ปุ่นช่วง พฤษภาคม 54 ก็กะว่าคงไม่หนาวแล้ว  ที่ไหนได้ หนาวสนั่นตอนขึ้นไปดู Aso-san ทำให้หน้าสวยๆ กลายเป็นเจ้า Hulk ยักษ์ตัวเขียวไปทีเดียว  อาการบวมตุ่ยไปทุกส่วนที่สัมผัสความเย็น พอเข้าพื้นที่อบอุ่น ก็ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงจะกลับมาใกล้เคียงสภาพเดิม  แต่นิ้วมือนี่ใช้เวลาเป็นวันกว่าจะถอดแหวนได้ ... ทรมานจริงๆ